Page 29 - น้ำท่วมซ้ำซาก 7 จังหวัดภาคเหนือ ปรับปรุงปี2557
P. 29
19
ที่มีอิทธิพลทําให้ฝนตกต่อเนื่องหลายวันตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน ทําให้น้ําท่วมในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
นครศรีธรรมราช พัทลุง ปัตตานี สงขลา ตรัง และนราธิวาส
- ปี 2552 ประเทศไทยมีฝนชุกในช่วงเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม ส่วนเดือนอื่นๆ เกือบทุกภาคมีฝนน้อย
ปริมาณฝนรวมทั่วประเทศตลอดปีสูงกว่าค่าปกติประมาณ 2 % แต่ต่ํากว่าปีที่ผ่านมา (ปี 2551 มีปริมาณฝน
1751.4 มิลลิเมตรสูงกว่าค่าปกติ 11%) และในปีนี้มีพายุหมุนเขตร้อนเคลื่อนเข้าสู่ประเทศไทยเพียง 1 ลูก
คือ พายุดีเปรสชันที่อ่อนกําลังลงจากไต้ฝุ่น“กิสนา” โดยเคลื่อนเข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณอําเภอ
โขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 30 กันยายน และอ่อนกําลังลงเป็นหย่อมความกดอากาศต่ํากําลังแรง
ปกคลุมบริเวณจังหวัดอุบลราชธานี และศรีสะเกษในวันต่อมา ส่งผลให้ประเทศไทยมีการกระจายของฝนเพิ่มขึ้นกับ
มีฝนหนักถึงหนักมากบางพื้นที่โดยเฉพาะบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคกลาง และมีรายงานน้ําท่วม
บางพื้นที่ในช่วงดังกล่าว ในช่วงกลางเดือนมิถุนายนและกลางเดือนกรกฎาคม ร่องความกดอากาศต่ําพาดผ่าน
บริเวณภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยรวมทั้งอิทธิพลของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กําลังแรง
พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทําให้บริเวณดังกล่าวมีฝนตกค่อนข้างหนัก โดยเฉพาะ
จังหวัดอุตรดิตถ์ แพร่ สุโขทัย ทําให้เกิดน้ําท่วมฉับพลันและน้ําป่าไหลหลาก ในพื้นที่ดังกล่าวและในพื้นที่
4 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดพังงา ระนอง สตูล และจังหวัดตรัง ส่วนในช่วงกรกรกฎาคมถึงกันยายน อิทธิพล
ของมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กําลังแรงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยประกอบกับร่องความ
กดอากาศต่ําพาดผ่านภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทําให้เกิดน้ําท่วมฉับพลันและน้ําป่าไหลหลาก
ในพื้นที่จังหวัดภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดระยอง จันทบุรี ตราด เชียงราย น่าน ลพบุรี และลําปาง และ
ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนอิทธิพลของมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกําลังแรงพัดปกคลุมภาคใต้และอ่าวไทย
ในช่วงวันที่ 3-8 พฤศจิกายน ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและเกิดน้ําท่วมในพื้นที่ภาคใต้พื้นที่ประสบภัย 10 จังหวัด
ได้แก่ จังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ชุมพร สงขลา สตูล ตรัง นราธิวาส ยะลา และจังหวัด
ปัตตานี
- ปี 2553 เกิดเหตุการณ์น้ําท่วมในประเทศไทยหนักที่สุดในรอบหลายสิบปี เนื่องจากมีฝนตกหนัก
ในหลายพื้นที่ ในช่วงเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ก่อให้เกิดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินในหลายพื้นที่
ซึ่งอุทกภัยครั้งนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2553 จนกระทั่งสถานการณ์คลี่คลายทั้งหมดเมื่อวันที่
14 ธันวาคม พ.ศ. 2553 ซึ่งมีสาเหตุการเกิดมาจากอิทธิพลของร่องความกดอากาศต่ําพาดผ่านภาคใต้ตอนบน
ภาคกลางและภาคตะวันออก และมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทําให้ประเทศไทยมีฝนตกชุกหนาแน่นและมีฝนตก
หนักถึงหนักมาก หลายพื้นที่เกิดน้ําท่วมเฉียบพลัน น้ําป่าไหลหลาก เข้าท่วมบ้านเรือนราษฎร์และพื้นที่
การเกษตร โดยร่องมรสุมกําลังแรงดังกล่าวมีสาเหตุจากปรากฏการณ์ลานิญา ที่มาเร็วกว่าปกติ โดยฝนได้ตก
ลงมาในพื้นที่หลังเขาเป็นเวลาหลายวันเฉลี่ยมากกว่า 100 มิลลิเมตรต่อวัน ประกอบกับความแปรปรวน
ของร่องฝน ซึ่งปกติจะต้องเคลื่อนลงไปแถวภาคใต้แล้ว ทําให้ปริมาณน้ําในอ่างเก็บน้ําหลายแห่งมีปริมาณน้ํา
เกินกว่าระดับกักเก็บ โดยเฉพาะเขื่อนลําพระเพลิง เขื่อนลําตะคอง เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จนต้องเร่งระบายน้ํา
ออกสู่พื้นที่ท้ายเขื่อน ซึ่งทําให้หลายพื้นที่เกิดอุทกภัยอย่างหนักเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนที่พื้นที่ได้รับผลกระทบ
จากอุทกภัยและมีผู้เสียชีวิต โดยอุทกภัยในจังหวัดนครราชสีมายังพบว่ามีสาเหตุมากจากการรุกล้ําลําน้ํา
ลําตะคองและลําพระเพลิง ทําให้พื้นที่ไม่สามารถเก็บกักน้ําเอาไว้ได้ ส่วนอุทกภัยในภาคใต้ระบุว่าเกิดจาก
อิทธิพลของพายุดีเปรสชั่นบริเวณอ่าวไทยตอนล่างเคลื่อนตัวผ่านภาคใต้ ทําให้ภาคใต้มีฝนตกชกหนาแน่น และ
มีฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ ทําให้เกิดน้ําท่วมเฉียบพลัน น้ําป่าไหลหลาก เข้าท่วมบ้านเรือนราษฎร์
และพื้นที่การเกษตร วาตภัยและคลื่นมรสุมซัดฝั่ง รวมทั้งพายุไซโคลน “จาล” ทําให้ผลกระทบจากอุทกภัย
เพิ่มมากขึ้น