Page 33 - คาดการณ์พื้นที่เกษตรเสี่ยงภัยแล้งปี2558
P. 33

24



               ยะลา จังหวัดยะลา และไหลผ่านจังหวัดปัตตานีที่อ าเภอยะรัง จนกระทั่งออกสู่อ่าวไทย ที่อ าเภอเมืองปัตตานี
               จังหวัดปัตตานี มีความยาวตลอดล าน้ าประมาณ 120 กิโลเมตร

                                     แม่น้ าสายบุรี ต้นน้ าเกิดจากเทือกเขาสันกาลาคีรีระหว่างเขาคุลากาโอกับเขาตาโบ้ใน
               อ าเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส ไหลขึ้นไปทางเหนือผ่านอ าเภอศรีสาคร อ าเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส และ
               ไหลผ่านเข้าไปในเขตอ าเภอรามัน จังหวัดยะลา และไหลลงสู่อ่าวไทยที่อ าเภอสายบุรีจังหวัดปัตตานี มีความ
               ยาวตลอดล าน้ าประมาณ 186 กิโลเมตร

                           2)  แหล่งหรือแอ่งน้ าบาดาล เนื่องจากแหล่งน้ าบาดาลแต่ละชนิดแต่ละแห่งมีความแตกต่าง
               กันตามสภาพโครงสร้างและลักษณะทางธรณีวิทยาซึ่งเป็นตัวการส าคัญอันหนึ่งที่จะควบคุมการเกิดการแผ่
               กระจาย และปริมาณน้ าที่ถูกเก็บอยู่ในแหล่งน้ าบาดาล ปริมาณน้ าที่สามารถสูบขึ้นมาใช้ได้ ตลอดจนคุณภาพ
               น้ า แหล่งน้ าบาดาลของประเทศไทย สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

                                (1)  แหล่งน้ าบาดาลในกลุ่มหินอุ้มน้ าประเภทร่วน ซึ่งเรียกว่า แอ่งน้ าบาดาล
               (groundwater basin) น้ าบาดาลในตะกอนหินร่วนนับเป็นแหล่งน้ าบาดาลที่ส าคัญหรือประมาณร้อยละ 90
               ของแหล่งน้ าบาดาลที่พัฒนาขึ้นมาใช้ได้  เช่น  บริเวณที่ราบลุ่มเจ้าพระยา  และแอ่งเชียงใหม่-ล าพูน  เป็นต้น
               ตะกอนหินร่วนของประเทศไทยมีหลายอายุตั้งแต่ยุคปัจจุบัน ยุค Pleistocene และ ยุค Tertiary มีการก าเนิด

               หลายรูปแบบ ท าให้คุณสมบัติการกักเก็บและการให้น้ าบาดาลแตกต่างกันออกไป
                                (2)  แหล่งน้ าบาดาลในกลุ่มหินอุ้มน้ าประเภทหินแข็ง (groundwater in rock source
               area) คุณสมบัติการกักเก็บน้ า บาดาลในชั้นหินแข็งขึ้นกับอยู่อิทธิพลความพรุนทุติยภูมิในเนื้อหิน เช่น โพรงของ

               หินปูนใต้ดิน รอยแตกในชั้นหินอันเกิดจากแนวรอยเลื่อนของหิน (fault zones) ระบบรอยแตกอันเกิดจากการปริใน
               ชั้นหิน  (jointing  systems)  รอยแตกที่เกิดจากการโค้งงอของชั้นหิน  (folding)  หรือรอยแตกที่เกิดจากการหดตัว
               (shrinkage cracks) ดังนั้นในหินแต่ละชนิดย่อมมีแนวรอยแตกในรูปแบบที่แตกต่างกัน หน่วยหินทางอุทกธรณีวิทยา
               ที่กักเก็บน้ าบาดาลในหินแข็งที่พบในประเทศไทยมีหลายยุคตั้งแต่ปลายยุค Tertiary ไปจนถึงยุค Pre-Cambrian บ่อ
               น้ าบาดาลในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ที่เจาะและพัฒนาน้ าบาดาลจากชั้นหินแข็ง

                                ส าหรับหน่วยหินทางอุทกธรณีวิทยาต่างๆ  ทั้งในกลุ่มหินอุ้มน้ าประเภทหินร่วนและกลุ่ม
               หินอุ้มน้ าประเภทหินแข็งของประเทศไทย ได้สรุปไว้ในตารางที่ 6 และ ตารางที่ 7 ตามล าดับ
                                แหล่งหรือแอ่งน้ าบาดาลที่ส าคัญของประเทศไทยตามการแบ่งแอ่งน ้าบาดาลของกรม

               ทรัพยากรน ้าบาดาล มีจ านวน 27  แอ่ง แต่ละแอ่งจะมีสภาพทางอุทกธรณีวิทยาที่แตกต่างกัน คาดการณ์ว่า
               ปริมาณน้ าบาดาลในประเทศไทยมีจ านวน 32,761.78  ล้านลูกบาศก์เมตร แต่หากจะพัฒนากลับขึ้นมาใช้โดย
               ไม่ให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม จึงก าหนดให้สามารถพัฒนาน ากลับมาใช้ได้ 3,175 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
               โดยแอ่งน้ าบาดาลส าคัญ 3  อันดับแรก คือ 1) แอ่งเจ้าพระยา (เหนือ และใต้) จ านวน 2,576  ล้านลูกบาศก์

               เมตรต่อปี 2) แอ่งเชียงใหม่/ล าพูน จ านวน 97  ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี 3) แอ่งนครศรีธรรมราช จ านวน 84
               ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี
   28   29   30   31   32   33   34   35   36   37   38