Page 27 - Management_agricultural_drought_2561
P. 27
21
แมน้ําสายบุรี ตนน้ําเกิดจากเทือกเขาสันกาลาคีรีระหวางเขาคุลากาโอกับเขาตาโบใน
อําเภอสุคิริน จังหวัดนราธิวาส ไหลขึ้นไปทางเหนือผานอําเภอศรีสาคร อําเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส และ
ไหลผานเขาไปในเขตอําเภอรามัน จังหวัดยะลา และไหลลงสูอาวไทยที่อําเภอสายบุรีจังหวัดปตตานี มีความ
ยาวตลอดลําน้ําประมาณ 186 กิโลเมตร
2.6.2 แหลงหรือแองน้ําบาดาล
แหลงน้ําบาดาลของประเทศไทย แบงออกเปน 2 ประเภท คือ
1) แหลงน้ําบาดาลในกลุมหินอุมน้ําประเภทรวน ซึ่งเรียกวา แองน้ําบาดาล (groundwater
basin) น้ําบาดาลในตะกอนหินรวนนับเปนแหลงน้ําบาดาลที่สําคัญหรือประมาณรอยละ 90 ของแหลงน้ํา
บาดาลที่พัฒนาขึ้นมาใชได เชน บริเวณที่ราบลุมเจาพระยา และแองเชียงใหม-ลําพูน เปนตน ตะกอนหินรวน
ของประเทศไทยมีหลายอายุตั้งแตยุคปจจุบัน ยุค Pleistocene และ ยุค Tertiary มีการกําเนิดหลายรูปแบบ
ทําใหคุณสมบัติการกักเก็บและการใหน้ําบาดาลแตกตางกันออกไป
2) แหลงน้ําบาดาลในกลุมหินอุมน้ําประเภทหินแข็ง (groundwater in rock source area)
คุณสมบัติการกักเก็บน้ํา บาดาลในชั้นหินแข็งขึ้นกับอยูอิทธิพลความพรุนทุติยภูมิในเนื้อหิน เชน โพรงของหินปูนใต
ดิน รอยแตกในชั้นหินอันเกิดจากแนวรอยเลื่อนของหิน (fault zones) ระบบรอยแตกอันเกิดจากการปริในชั้นหิน
(jointing systems) รอยแตกที่เกิดจากการโคงงอของชั้นหิน (folding) หรือรอยแตกที่เกิดจากการหดตัว (shrinkage
cracks) ดังนั้นในหินแตละชนิดยอมมีแนวรอยแตกในรูปแบบที่แตกตางกัน หนวยหินทางอุทกธรณีวิทยาที่กักเก็บน้ํา
บาดาลในหินแข็งที่พบในประเทศไทยมีหลายยุคตั้งแตปลายยุค Tertiary ไปจนถึงยุค Pre-Cambrian บอน้ําบาดาลใน
พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือไมนอยกวารอยละ 80 ที่เจาะและพัฒนาน้ําบาดาลจากชั้นหินแข็ง
สําหรับหนวยหินทางอุทกธรณีวิทยาตางๆ ทั้งในกลุมหินอุมน้ําประเภทหินรวนและกลุมหิน
อุมน้ําประเภทหินแข็งของประเทศไทย ไดสรุปไวในตารางที่ 2.6 และ ตารางที่ 2.7 ตามลําดับ
แหลงหรือแองน้ําบาดาลที่สําคัญของประเทศไทยตามการแบงแองน้ําบาดาลของกรม
ทรัพยากรน้ําบาดาล มีจํานวน 27 แอง แตละแองจะมีสภาพทางอุทกธรณีวิทยาที่แตกตางกัน คาดการณวา
ปริมาณน้ําบาดาลในประเทศไทยมีจํานวน 32,761.78 ลานลูกบาศกเมตร แตหากจะพัฒนากลับขึ้นมาใชโดย
ไมใหเกิดผลกระทบตอสิ่งแวดลอม จึงกําหนดใหสามารถพัฒนานํากลับมาใชได 3,175 ลานลูกบาศกเมตรตอป
โดยแองน้ําบาดาลสําคัญ 3 อันดับแรก คือ 1) แองเจาพระยา (เหนือ และใต) จํานวน 2,576 ลานลูกบาศก
เมตรตอป 2) แองเชียงใหม/ลําพูน จํานวน 97 ลานลูกบาศกเมตรตอป 3) แองนครศรีธรรมราช จํานวน 84
ลานลูกบาศกเมตรตอป